เทคนิค Slowplay หรือเรียกว่า sandbagging, trapping เป็นแนวทางการเล่นโป๊กเกอร์ ที่จะทำให้คู่แข่งคิดว่าไพ่ที่เราถือไม่แข็งแกร่ง (แต่ความเป็นจริงแล้วแข็งแกร่ง) โดยมีเป้าหมายหลักคือทำให้คู่แข่งลง pot หรือ bet มากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้เป็นประเภท tight (bet, raise หนัก ๆ) การใช้เทคนิคนี้อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร
การ slowplay ถือเป็นการเล่นอย่างหนึ่งเมื่อเราได้ไพ่ hand ที่คิดว่าแข็งแกร่ง หรือค่อนข้างแข็งแกร่ง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วการได้ hand กลุ่มนี้เราจะต้องทำการ bet สูง ๆ มากกว่าเพียงแค่ check ในแต่ละตา แต่จุดประสงค์ที่เราไม่ลงเดิมพันก็เพื่อ trap เพื่อคุมเงินในกองกลางของเกมไม่ให้ใหญ่เกินไปทำให้เราไม่เสียเงินเยอะ ขณะที่ถ้าเป็น hand ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่อาจจะไม่ได้แข็งแกร่ง มาก เราก็ถือโอกาสดูว่าคู่แข่งจะออกมาในลักษณะไหน หากคู่แข่งมี ตัวคุม ใหญ่กว่า หรือ hand ที่แข็งแกร่ง กว่าเราจะตั้งหลักได้ทันไม่ bet สูง ๆ เกินไปทำ slowplay ไว้ใช้ในบางสถานการณ์เพื่อให้คู่แข่งเดาใจเราไม่ออกด้วยนั่นเอง
ประโยชน์ของการใช้เทคนิค slowplay
- เรามีโอกาสได้และเป็นต่อในเกมมากขึ้น หากไพ่เราแข็งแกร่งมาก และเรา bet ตลอดทุกรอบการเล่น (flop turn river) โอกาสที่คู่แข่งจะหมอบมีมาก หากเขาไม่มี hand ที่แข็งแกร่งพอ ๆ กับเรา แต่หากเรา check บ้างในบาง street ก็อาจทำให้คู่แข่งตายใจไม่คิดว่า hand เราแข็งแกร่ง มีโอกาสที่เขาจะ bet หรือ call bet เรามากขึ้น
- โอกาสเสียน้อยลงจาก pot control ถ้า hand เราไม่ได้ nuts จริงๆ
- ทำให้การเล่นของเรามีความสมดุล เพราะถ้าเราไม่ check hand เลย จะทำให้คู่แข่งรู้ทันทีว่าเมื่อไหร่ที่เรา bet แปลว่า hand เราแข็งแกร่งจริง ๆ คู่แข่งก็จะหมอบให้เรามากขึ้น โอกาสที่ได้กำไรก็จะน้อยลง แต่ถ้าเรา check แสดงว่า hand เราไม่แข็งแกร่ง คู่แข่งก็จะ bet bluff ใส่เรามากขึ้น แต่หากเรา check ไพ่ที่ แข็งแกร่งบ้าง อาจทำให้คู่แข่งสับสนได้ว่า hand ของเราแข็งแกร่งหรือไม่
สถานการณ์ที่ควร slowplay
1. Static / dry board
คือบอร์ดที่มีผลการแข่งขันค่อนข้างเปลี่ยนแปลงได้ยาก เนื่องจากเปอร์เซ็นในการเกิด straight/flush มีน้อย เช่น K67 rainbow (คนละดอกทั้งหมด) เราอาจจะทำการ bet เบา ๆ (1/3 หรือ 1/4 ของ pot) หรือ check เพื่อเปิดโอกาสให้คู่แข่งได้ติดอะไรในรอบการเล่นถัดไปได้บ้าง ถ้าเราติด nuts จริงตั้งแต่ช่วง flop เราอาจจะ check ได้หลายรอบการเล่น หากคู่แข่ง check กลับมาเพราะมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว
2. Dynamic board ที่เรามี blocker
ถึงแม้ว่า dynamic board จะทำให้คู่ต่อสู้พัฒนา hand ได้ แต่ถ้าเรามี blocker 1 ใบ หรือ 2 ใบ โอกาสที่คู่แข่งจะ draw ติดก็จะน้อยลง ยิ่ง block ทั้ง 2 ใบยิ่งมีโอกาสน้อยลง เช่นเราถือ AhQh บอร์ด Ad6d2h หรือเราถือ KQo บอร์ด QT 5 rainbow เราสามารถที่จะ slow play ได้ประมาณ 1 ครั้ง
3. Heads Up
สถานการณ์ที่เราเจอคู่แข่งแค่คนเดียว ความเป็นไปได้ที่จะมีคน call แล้วได้ไพ่ใบใหญ่ก็จะน้อยลง เพราะจำนวนผู้เล่นน้อย จำนวนการจ่ายไพ่ก็น้อยลงตาม
4. เจอคู่แข่งที่มีสไตล์การเล่นแบบ tight หรือ aggressive
คู่แข่งประเภท tight จะไม่ค่อย call เพราะเป็นสายเล่นแบบเซฟ ๆ ถ้าเขาไม่มี hand ที่ดีพอ ถ้าเรา bet หนักและบ่อย จะทำให้คู่แข่งหยุดเล่น ขณะที่คู่แข่งที่ aggressive จะชอบ bluff หรือ bet หนักกว่าปกติ เราควร check trap ปล่อยให้คู่แข่ง bet bluff ไปเรื่อย ๆ แล้วค่อยจบเกมที่ river จะได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด
5. Trap เมื่อคุณมี hand ที่ strong
คุณสามารถ Trap ได้ ถ้าคุณมี hand ที่แข็งแกร่ง ถือว่าเป็นการใช้เทคนิค slowplay บน dry board
6. คู่ต่อสู้มี hand ที่ strong
หากคู่ต่อสู้ของคุณมี hand ที่แข็งแกร่ง แน่นอนที่เขาจะ bet ต่อในรอบ turn และ river
7. เมื่อคู่ต่อสู้ bluff
ถ้าคู่ต่อสู้กำลัง bluff คุณ ให้พวกเขาทำต่อไป เพราะการ bluff ของพวกเขา ไม่น่าจะเอาชนะ hand เราได้
8. คู่ต่อสู้เข้าใจว่าเขามีไพ่ที่ดี
เราอาจจะหลอกคู่ต่อสู้ให้ตายใจว่าเขามีไพ่ที่ดี ทำให้พวกเขา bet ต่อไปเรื่อย ๆ การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็น trap ของเรา
สถานการณ์ที่ไม่ต้องใช้เทคนิค slowplay
1. Dynamic board
บอร์ดที่มีไพ่เลขติดกัน 2 ใบ หรือดอกเดียวกัน 2 ใบ และเราไม่ได้ถือไพ่จำพวกนั้น เพราะถ้า check ก็เหมือนกับให้คู่แข่งดูไพ่ฟรี และมีโอกาสติด monster hand ทำให้คู่แข่งชนะเราได้
2. IP ใน multi way
ในกรณีที่เราอยู่ตำแหน่งการเล่นคนสุดท้าย ซึ่งมีโอกาสเจอคู่แข่งมากกว่า 1 คน และ hand เราดีพอ เราควรจะ bet เพื่อเอากำไร เพราะมีเปอร์เซ็นต์สูงที่คู่แข่งจะ call มากขึ้นและมีโอกาสที่ไพ่จะพัฒนาได้มากกว่าเดิม ถ้าเรามีไพ่ที่ดีพอ ยิ่งมีคู่แข่งเยอะเท่าไหร่ยิ่งไม่ควร check ให้เสียกำไรเกินไป
3. เจอคู่แข่งสไตล์การเล่นแบบ loose หรือ calling station
คู่แข่งที่มีสไตล์การเล่นแบบ loose / calling station เป็นสายสู้ จะไม่หมอบง่าย ๆ พร้อมที่จะวางเดิมพันเพื่อเล่นต่อ เพื่อลุ้นไพ่ของตัวเองเสมอ ดังนั้นถ้าหากเรามี hand ที่ดีพอ เราไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิค slowplay เพราะการ bet จะทำให้เราได้กำไรมากกว่า แต่เราต้องมั่นใจว่าคู่แข่งเราเป็นผู้เล่นประเภทนี้จริง ๆ
สิ่งที่ไม่ควรทำในรอบ Pre Flop
- ไม่ควร Limp (การ bet น้อยในรอบ pre flop) เพราะ
- คุณไม่สามารถชนะ pre flop ได้ ถ้าคุณ Limp
- การ Limp ทำให้ง่ายต่อฝั่งตรงข้าม
- Limp อาจทำให้คุณแสดงสีหน้าออกมาและฝ่ายตรงข้ามเดาได้
- ขาดการรับรู้ตำแหน่ง ผู้เล่นควรคำนึงถึงตำแหน่งการเล่น และ range ของตัวเอง
- เล่นช้าจนเกินไป เช่น การ call บ่อย และไม่ค่อย bet
- เกหนัก ๆ ใน big blind เนื่องจากคุณเป็นคนสุดท้ายที่เล่น pre flop และมีโอกาสในการเปิด flop คุณจึงสามารถ check, call จาก big blind ได้มากกว่าตำแหน่งอื่น ๆ
- การ raise มากเกินไป หรือน้อยเกินไปในตำแหน่ง button
- เกหนัก ๆ ในตำแหน่ง small blind เมื่อตอนคู่แข่งหมอบ หากคุณอยู่ตำแหน่ง small blind ถ้าคู่แข่งหมอบ คุณควรที่จะ raise บ่อย ๆ เพราะมีโอกาสที่จะได้เงินใน pot
Check Raising as a Slowplay
หาก check raise ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิค slowplay จุดประสงค์ของการเพิ่ม check raise คือเพื่อขับไล่คู่แข่ง ซึ่งตรงข้ามกับเป้าหมายของ slowplay อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เป็น single betting round (ลิมิตสูงสุดในการ check, raise ได้ใน 1 รอบ) การ check raise ก็สามารถใช้เป็น slowplay ได้
ความสัมพันธ์ระหว่าง slowplay และ bluff
หากเล่นแบบ bluff บ่อย ๆ มีผลต่อประสิทธิภาพของการเล่น slowplay แต่ถ้าเล่นในโต๊ะที่มีผู้เล่นที่เน้นเกทับบ่อย ๆ หลายคน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิค slowplay เพราะคู่แข่งเต็มใจที่จะ call และ bet ตามปกติ แต่ถ้าหากเราใช้เทคนิค slowplay บ่อยเกินไป การ bluff ของเราก็จะน่าเชื่อถือน้อยลง ( มีแนวโน้มที่จะ call มากกว่า ) เพราะคู่แข่งคาดหวังให้เล่นช้า ๆ ด้วย hand ที่แข็งแกร่ง
การเล่นเกมโป๊กเกอร์ควรมีสติและบาลานซ์การเล่นได้อย่างดี ซึ่งเทคนิคการเล่น slowplay เป็นเทคนิคที่ทำให้คู่แข่งคาดเดาไพ่ในมือของเราไม่ได้ และกลายเป็นผู้เล่นที่รับมือได้ยากในสายตาคู่แข่งแน่นอน